การถนอมอาหาร วิธีถนอมอาหาร และเมนูถนอมอาหารทำง่ายขายคล่อง
อัปเดตเมื่อ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2025

การถนอมอาหาร วิธีถนอมอาหาร และเมนู ถนอมอาหาร ทำง่ายขายคล่อง
การถนอมอาหาร เป็นภูมิปัญญาที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน แต่ถึงแม้ยุคนี้จะมีเทคโนโลยีมากขึ้น หลายคนก็ยังต้องการเก็บของให้นานขึ้น เพื่อลดต้นทุน ลดของเสีย หรือแม้แต่ต่อยอดสร้างสินค้าแปรรูปขายได้อีกด้วย วันนี้เราได้รวบรวม วิธีถนอมอาหาร ครบทุกแบบ พร้อมแนะนำอุปกรณ์ที่ช่วยให้งานง่ายขึ้น และเมนูถนอมอาหารที่ทำเองได้จริง มาฝากกันค่ะ
การถนอมอาหาร มีประโยชน์อย่างไร?

ประโยชน์ของการถนอมอาหาร ไม่ได้ช่วยแค่ให้อาหารอยู่ได้นานขึ้นเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีข้อดีอีกมาก เช่น
- ยืดอายุอาหาร ป้องกันการเน่าเสีย ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ทำให้สามารถบริโภคอาหารได้แม้จะผ่านไปหลายวัน
- ลดการสูญเสียวัตถุดิบ สามารถเก็บอาหารหรือวัตถุดิบที่เหลือใช้ไว้บริโภคหรือปรุงอาหารต่อได้ในวันถัดไป
- เก็บอาหารตามฤดูกาลไว้กินนอกฤดูกาลได้ ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลิตผลตามฤดูกาลไว้บริโภคหรือจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี
- เพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตร ช่วยแปรสภาพผลผลิตทางการเกษตรที่ล้นตลาดให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นและเก็บได้นาน
- จัดส่งอาหารและวัตถุดิบได้สะดวก สามารถขนส่งอาหารไปยังพื้นที่ไกลได้โดยไม่เสียสภาพ
12 วิธีถนอมอาหาร มีอะไรบ้าง?
วิธีการถนอมอาหาร มีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีหลักการทำงานที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1) การใช้เครื่องซีลสูญญากาศ

การซีลสูญญากาศ เป็นวิธีที่นิยมมากในปัจจุบันเพราะ สะดวก รวดเร็ว และยืดอายุอาหารได้นาน 3 – 5 เท่า โดยใช้ เครื่องซีลสูญญากาศ ดูดอากาศออกจากถุงก่อนจะทำการซีลปิดผนึกปากถุงอย่างแน่นหนา เพื่อลดการเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจน ทำให้เชื้อราและแบคทีเรียเติบโตได้ช้าลง คลิกดู👉 วิธีซีลถุงสูญญากาศ เลย!!
ประโยชน์
- เก็บอาหารสดได้นานขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักผลไม้
- ประหยัดพื้นที่จัดเก็บ
- เหมาะกับร้านอาหาร คาเฟ่ โรงงานผลิตอาหาร
- ช่วยคงความสด สี และรสชาติของวัตถุดิบได้ดี
ถุงซีลสูญญากาศ ก็สำคัญเช่นกันนะคะ ถุงที่ดีควรเป็นถุงที่ผลิตจากวัสดุที่ทนทานและปลอดภัยต่ออาหาร (Food Grade) ทนความร้อน/ความเย็นได้ดี และควรเลือกประเภทของถุงให้เหมาะสมกับเครื่องซีลที่ใช้ (เช่น ถุงแบบเรียบ, ถุงแบบลายนูน หรือ แบบจีบข้าง) ดูพิกัดซื้อถุงซีลสูญญากาศได้ใน ถุงซีลสูญญากาศซื้อที่ไหน
2) การใช้ความร้อน
การให้ความร้อนเป็นการทำลายจุลินทรีย์และเอนไซม์ตามธรรมชาติในอาหาร ที่ทำให้อาหารเสีย โดยแบ่งได้หลายแบบ ประกอบด้วย การพาสเจอไรซ์ การสเตอริไลซ์ และการใช้ความร้อนที่สูงกว่าอุณหภูมิน้ำเดือด
2.1 การพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurization)
เป็นกระบวนการให้ความร้อนที่ไม่สูงเกิน 100°C เพื่อยับยั้งเอนไซม์และทำลายจุลินทรีย์ที่ทนความร้อนต่ำ (เช่น แบคทีเรียที่ไม่สร้างสปอร์, ยีสต์, รา) โดยเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อคุณค่าทางอาหารน้อยที่สุด นิยมใช้กับ นมและน้ำผลไม้
- Low Temperature Long Time (LTLT) ให้ความร้อนต่ำประมาณ 60°C นาน 30 นาที แล้วทำให้เย็นทันที
- High Temperature Short Time (HTST) ให้ความร้อนสูงประมาณ 72°C นาน 15 วินาที แล้วทำให้เย็นทันที

2.2 การสเตอริไลซ์ (Sterilization)
เป็นกระบวนการให้ความร้อน โดยใช้อุณหภูมิที่สูงกว่า 100 °C เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค และจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสียที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์สเตอริไลส์ สามารถเก็บไว้ได้นานในอุณหภูมิปกติ และไม่ต้องแช่เย็น
- ดูรายละเอียด 👉 การสเตอริไลซ์

2.3 การใช้ความร้อนที่สูงกว่าอุณหภูมิน้ำเดือด (อาศัยความดัน)
วิธีนี้มักใช้สำหรับอาหารบรรจุขวดหรือกระป๋อง โดยเฉพาะอาหารที่มีความเป็นกรดต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ ผัก เป็นต้น เพื่อให้ความร้อนสามารถทะลุทะลวงและทำลายสปอร์ของจุลินทรีย์ได้อย่างทั่วถึง

3) การทำแห้ง

หลักการคือการ ลดปริมาณความชื้น ในอาหารให้ต่ำกว่าระดับที่จุลินทรีย์จะสามารถเจริญเติบโตได้ ซึ่งยังช่วยลดผลกระทบต่อรสชาติ กลิ่น และคุณค่าทางโภชนาการได้อีกด้วย ประกอบด้วย การตากแห้ง การรมควัน และการใช้เครื่องมือช่วย
3.1 การทำแห้งโดยวิธีธรรมชาติ
อาศัยแหล่งความร้อนจาก แสงอาทิตย์หรือการผึ่งลม เป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำและทำได้ง่าย แต่ควบคุมคุณภาพและความเร็วในการทำแห้งได้ยาก ผลิตภัณฑ์ที่ได้จึงอาจมีคุณภาพต่ำกว่า
3.2 การรมควัน (Smoking)
นิยมใช้เพื่อเก็บรักษา ปลาและเนื้อสัตว์ โดยความร้อนและสารเคมีจากควันจะช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ พร้อมทั้งเพิ่มกลิ่นรสที่เป็นเอกลักษณ์
3.3 การทำแห้งโดยใช้เครื่องมือช่วย
ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น เครื่องอบแห้ง เตาอบ หรือเตาไมโครเวฟ วิธีนี้ช่วยให้สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสม่ำเสมอ รวดเร็ว และมีการสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการน้อยที่สุด
ดูรายละเอียด👉 เครื่องอบลมร้อน เครื่องอบแห้ง
4) การใช้ความเย็น
เป็นการถนอมให้อาหารคงสภาพเดิม โดยใช้ความเย็นที่ระดับอุณหภูมิต่ำ แต่ไม่ถึงจุดเยือกแข็ง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ชะลอการเน่าเสียและลดอัตราการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของอาหาร สามารถยืดอายุการเก็บรักษาอาหารได้ระยะหนึ่ง
4.1 การแช่เย็น (Chilling)
เป็นวิธีการใช้อุณหภูมิต่ำในระดับตู้เย็นเพื่อเก็บอาหารสด หรืออาหารแปรรูป ให้สามารถเก็บได้นานกว่าอุณหภูมิห้อง ทำให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตได้ช้าลง อุณภูมินี้สามารถช่วยป้องกันการเสื่อมเสีย เช่น การหืนของไขมัน การเหี่ยวของผักต่าง ๆ และการเปรี้ยวของน้ำนม เป็นต้น

4.2 การแช่แข็ง (Freezing)
เป็นการเก็บรักษาและถนอมอาหารในอุณหภูมิต่ำกว่า -18 °C เพื่อป้องกันการยับยั้งและเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ โดยการแช่เยือกแข็งคือการทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง สำหรับอาหารที่นิยมแช่เยือกแข็ง ได้แก่ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ต่าง ๆ
หลังจากกระบวนการแช่แข็ง มักนิยมถนอมอาหาร โดยกระบวนการดึงความชื้น ที่เรียกว่า การฟรีซดราย จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้ แห้ง กรอบ และคงรสชาติของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ โดยปราศจากการปรุงแต่ง จึงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ เพราะไม่มีการเติมแต่งทั้งน้ำตาลและน้ำมัน

5) การหมักดอง

เป็นการถนอมอาหารโดยใช้ เกลือ น้ำส้ม หรือน้ำตาล เป็นส่วนประกอบหลัก ร่วมกับจุลินทรีย์บางชนิดที่ช่วยย่อยสลาย ทำให้เกิดรสเปรี้ยวหรือกลิ่นที่ต้องการ ประกอบด้วย การดองเปรี้ยว การดอง 3 รส การดองหวาน การดองเค็ม และการหมักดอง
5.1 การดองเปรี้ยว
ผักที่นิยมนำมาดอง เช่น ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี ผักเสี้ยน ถั่วงอก เป็นต้น โดยการนำเอาผักมาเคล้ากับเกลือ และผสมน้ำเกลือกับน้ำส้มต้มให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น นำมาเทราดลงบนผักที่เรียงไว้ในภาชนะ เทให้ท่วมผักปิดฝาภาชนะไม่ให้ลมเข้า หมักทิ้งไว้ 4-7 วัน ก็นำมารับประทานได้
5.2 การดอง 3 รส
คือ รสเปรี้ยว เค็ม หวาน ผักที่นิยมดอง คือ ขิงดอง กระเทียมสด ผักกาดเขียว โดยนำเอาผักมาเคล้ากับเกลือแล้วผสมน้ำส้ม น้ำตาล เกลือ ต้มให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาเทราดลงบนผักปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน ก็นำมารับประทานได้
5.3 การดองหวาน
ผักและผลไม้ที่นิยมนำมาดอง เช่น มะละกอ หัวผักกาด กะหล่ำปลี เป็นต้น โดยต้มน้ำตาล น้ำส้มสายชูและเกลือ ให้ออกรสหวานจนเดือด ทิ้งไว้ให้เย็น เทราดลงบนผักผลไม้ ทิ้งไว้ 2-3 วัน ก็นำมารับประทานได้
5.4 การดองเค็ม
ส่วนใหญ่นิยมใช้กับพวกเนื้อสัตว์และผัก เช่น ปูเค็ม ปลาเค็ม กะปิ หัวผักกาดเค็ม ไข่เค็ม เป็นต้น โดยต้มน้ำส้มสายชู และเกลือให้ออกรสเค็มจัดเล็กน้อยจนเดือด ทิ้งไว้ให้เย็น กรองใส่ภาชนะที่จะบรรจุอาหารดอง แล้วหมักทิ้งไว้ 4-9 เดือน จึงนำมารับประทาน
5.5 การหมักดอง (ที่ทำให้เกิดแอลกอฮอล์)
คือ การหมักอาหารพวกแป้ง น้ำตาล โดยใช้ยีสต์เป็นตัวช่วยให้เกิดแอลกอฮอล์ เช่น ข้าวหมาก ไวน์ เป็นต้น
6) การใช้น้ำตาล
ประกอบด้วย การเชื่อม การกวน การแช่อิ่ม การทำแยม เป็นการถนอมอาหารโดยการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ช่วยทำให้เก็บรักษาอาหารให้อยู่ได้นานโดยไม่เน่าเสีย ซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้
6.1 การเชื่อม
การใช้น้ำและน้ำตาลใส่ภาชนะตั้งไฟเคี่ยวให้น้ำตาลละลายเหนียวจนเป็นน้ำเชื่อมก่อน จากนั้นจึงใส่อาหารลงเคี่ยวต่อไปด้วยไฟอ่อน ๆ จนอาหารนั้นอิ่มชุ่มด้วยน้ำเชื่อม อาหารที่นิยมนำมาเชื่อม ได้แก่ กล้วย เผือก มัน มะยม ฟักทอง ทุเรียน เป็นต้น การเชื่อมแบ่งออกได้ 3 วิธี ได้แก่
- การเชื่อมแบบธรรมดา จะใช้น้ำตาลไปคลุกเคล้าหรือผสมในอาหารที่ต้องการ เพื่อให้น้ำตาลไปยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในอาหาร ทำให้อาหารยังคงสภาพอยู่ได้นานโดยไม่เน่าเสีย เช่น ลูกตาลเชื่อม กล้วยเชื่อม เป็นต้น
- การเชื่อมแบบแช่อิ่ม การนำเอาผักหรือผลไม้ไปแช่ในน้ำเชื่อม เพื่อให้น้ำเชื่อมซึมเข้าสู่ผักหรือผลไม้ จนกระทั่งเกิดการอิ่มตัว แล้วจึงเอาผักหรือผลไม้ลงแช่ ปรับเพิ่มความเข้มข้นตามความต้องการ ผลไม้ที่นิยมนำมาแช่อิ่ม เช่น มะม่วง มะขาม มะกอก มะยม เป็นต้น
- การเชื่อมโดยการฉาบ เคี่ยวน้ำตาลให้เป็นน้ำเชื่อมจนเป็นเกล็ด แล้วเทลงผสมคลุกเคล้ากับของที่ทอดไว้ ทิ้งไว้ให้เย็นจนน้ำเชื่อมเกาะเป็นเกล็ดติดอยู่บนผิวอาหารที่ฉาบ นิยมใช้กับผักหรือผลไม้ เช่น เผือกทอด มันทอด กล้วยทอด เป็นต้น

6.2 การกวน
การนำเอาเนื้อผลไม้ที่สุกแล้วผสมกับน้ำตาล ใช้ความร้อนปานกลางแล้วปรับลดลงต่ำ ใช้ไม้พายคนหรือกวนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้น้ำระเหยออกจนกระทั่งเนื้อผลไม้ข้นเหนียว มีรสหวานจัด แล้วยกลงจากเตาทิ้งไว้ให้เย็น นำเก็บใส่ขวดหรือหม้อปิดฝาให้สนิท เก็บไว้รับประทานได้หลายวัน ผลไม้ที่นิยมนำมากวน เช่น มะม่วง ทุเรียน สับปะรด เป็นต้น

6.3 การทำแยม
เป็นการต้มเนื้อผลไม้ปนกับน้ำตาลด้วยไฟอ่อนในระยะแรก แล้วค่อย ๆ เพิ่มไฟขึ้นทีละน้อย หมั่นคนสม่ำเสมอ จนกระทั่งแยมเหนียวตามต้องการ ผลไม้ที่นิยมนำมาทำแยม ได้แก่ สับปะรด ส้ม สตรอเบอรี่ มะปราง เชอรี่ แตงไทย กระเจี๊ยบ แตงโม ชมพู่ เป็นต้น

7) การใช้สารเคมี

เป็นการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ที่เป็นสาเหตุของการเน่าเสีย เช่น เกลือ, น้ำตาล, กรด, สารกันเสีย, และสารกันหืน
8) การใช้ก๊าซไนโตรเจน (Modified Atmosphere Packaging)

อีกหนึ่ง วิธีถนอมอาหาร โดยการนำก๊าซชนิดต่าง ๆ มาใช้สำหรับกระบวนการบรรจุผลิตภัณฑ์อาหารมากขึ้น เพื่อช่วยรักษาคุณภาพ และคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์อาหารนั้น ๆ ไว้ให้นานที่สุด ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มอายุการเก็บรักษาอาหาร กระบวนการบรรจุ โดย การใช้ก๊าซไนโตรเจน เข้าไปแทนที่อากาศภายในภาชนะบรรจุ ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น อาหารที่มีไขมันมาก น้ำผลไม้ เป็นต้น
9) การทอด

การทอดเป็นการใช้ความร้อนสูงของน้ำมันเพื่อทำให้เกิดการทำลายจุลินทรีย์บนพื้นผิวอาหาร และยังช่วย ลดปริมาณความชื้น ในอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ นอกจากนี้ ชั้นของน้ำมันที่เคลือบยังช่วย ป้องกันการสัมผัสกับอากาศ และความชื้นภายนอก ทำให้อาหารเก็บได้นานขึ้น เช่น กล้วยแขก, หมูทอดแดดเดียว
10) การบ่ม

เป็นการถนอมอาหารที่เน้นไปที่การ พัฒนาและเพิ่มรสชาติ ด้วยการควบคุมสภาวะการเก็บรักษาให้เหมาะสมกับการทำงานของเอนไซม์ตามธรรมชาติหรือจุลินทรีย์ที่ต้องการ
- การบ่มแห้ง (Curing) มักใช้เกลือ น้ำตาล หรือไนไตรท์กับเนื้อสัตว์เพื่อดึงความชื้นและยับยั้งแบคทีเรีย เช่น แฮม, เบคอน
- การบ่มเพื่อพัฒนาความนุ่มและรสชาติ เช่น การบ่มเนื้อวัว (Dry Aging) หรือการบ่มชีสบางชนิด
11) การใช้เกลือ

เป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้เกลือในปริมาณสูงเพื่อ ดึงน้ำออกจากเซลล์จุลินทรีย์ และจากตัวอาหาร (Osmosis) ทำให้จุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ เกลือยังช่วยเพิ่มรสชาติและอาจใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ปลาเค็ม, ไข่เค็ม, เนื้อเค็ม
12) การใช้รังสี

เป็นการใช้ พลังงานจากรังสี (เช่น รังสีแกมมา, รังสีเอกซ์) ในปริมาณที่ควบคุม เพื่อทำลายจุลินทรีย์ แมลง และไข่พยาธิในอาหาร โดยไม่ทำให้อุณหภูมิอาหารสูงขึ้นมากนัก และไม่ทำให้อาหารเป็นกัมมันตภาพรังสี วิธีนี้ใช้เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา, ฆ่าเชื้อ, หรือชะลอการสุกของผลไม้บางชนิด เช่น เครื่องเทศ, ผลไม้, ธัญพืช
10 เมนูถนอมอาหาร ยอดนิยม
4) พุทราเชื่อม
ถ้าพูดถึง ผลไม้เชื่อม หนึ่งในผลไม้ที่นึกถึง คือ พุทราจีน ผลไม้ยอดนิยม สามารถรับประทานได้ทั้งผลสด และผลสุก บทความนี้ SGE จะชวนเพื่อน ๆ ไปทำ พุทราเชื่อม ทานเองที่บ้าน แบบง่าย ๆ กันดีกว่า โดย จะเอาผลพุทราสุก ไปเชื่อม เพื่อเก็บรับประทานได้นาน ๆ มีความกรอบอร่อย หอมหวานในตัว อร่อยจนหยุดไม่อยู่ จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้างนั้น ไปดูกัน
วัตถุดิบ: พุทราจีน, น้ำปูนใส, น้ำตาลทราย, เกลือป่น
6) มะม่วงอบแห้ง
วิธีทำ มะม่วงอบแห้ง ด้วยตัวเองที่บ้าน ทำได้ง่ายมาก ๆ สามารถแปรรูปเป็นผลไม้แห้งไว้รับประทานกันในครอบครัว รวมถึงผลิตและวางจำหน่าย เพื่อสร้างรายได้ เหมาะกับคนที่ชื่นชอบการทานมะม่วง หรือ เกษตกร ที่มีผลผลิตมะม่วงจำนวนมาก แล้วอยากสร้างมูลค่าเพิ่ม หากใครอยากรู้ว่า มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
วัตถุดิบ: มะม่วง, เกลือ, แคลเซียมคลอไรด์, น้ำ, …
9) มะม่วงกวน
วิธีทำมะม่วงกวน ผลิตภัณฑ์แปรรูป ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับมะม่วง ทำอย่างไรให้เนื้อแน่น หวานอร่อย ได้รสชาติของมะม่วงเข้มข้น SGE มีวิธีทำมาฝาก แบบง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน เหมาะสำหรับคนที่อยากมะม่วงเก็บไว้ทานนาน ๆ หรือจะทำเป็นของฝาก ไว้ฝากญาติพี่น้อง หรือ ทำขายเพื่อสร้างรายได้
วัตถุดิบ: มะม่วงสุก, เกลือ, …
10) ทุเรียนกวน
วิธีทำทุเรียนกวน ทำอย่างไรให้เนื้อแน่น หวานอร่อย ได้รสชาติของทุเรียนเข้มข้น SGE มีวิธีทำมาฝาก เหมาะสำหรับคนที่อยากทุเรียนเก็บไว้ทานนาน ๆ หรือ จะทำเป็นของฝาก ไว้ฝากญาติพี่น้อง หรือ ทำขายเพื่อสร้างรายได้ก็ได้
วัตถุดิบ: ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง, น้ำตาล
การถนอมอาหาร แบ่งตามประเภทอาหาร

เทคนิคการถนอมอาหารทั้งหมดด้านบน เราแนะนำให้ทุกคนเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของวัตถุดิบแต่ละประเภท ดังนี้
- การถนอมอาหารประเภทผักและผลไม้ เป็นวิธีเพิ่มมูลค่าและลดการสูญเสียผลผลิตที่ล้นตลาดในฤดูกาล เช่น การแช่อิ่ม การเชื่อม การทำแห้ง เหมาะกับวิธีดอง เชื่อม อบแห้ง และฟรีซดราย ดูรายละเอียด การถนอมอาหารจากผักและผลไม้
- การถนอมอาหารสด เน้นการคงสภาพความสดใหม่ให้ยาวนานที่สุด มักใช้การแช่เย็น การแช่แข็ง รมควัน หมัก ตากแห้ง หรือซีลสูญญากาศ
- การถนอมอาหารเนื้อสัตว์ เน้นการทำลายเชื้อก่อโรคและการยับยั้งการเน่าเสีย มักใช้การแช่เย็น แช่แข็ง การรมควัน การใช้เกลือ การบ่ม หรือบรรจุถุงสุญญากาศ
เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารสำคัญ และโปรโมชั่นพิเศษมากมาย สามารถติดตามเราผ่านช่องทางต่างๆได้หลากหลายช่องทางตามด้านล่างนี้เลย
















