การถนอมอาหาร วิธีถนอมอาหาร และเมนู ถนอมอาหาร ทำง่ายขายคล่อง
การถนอมอาหาร มีอะไรบ้าง มีประโยชน์อย่างไร SGE มีคำตอบ พร้อมเมนูถนอมอาหารอย่างง่าย ๆ ให้ได้ไปลองทำตามกัน
หากใครอยากรู้วิธีถนอมอาหาร เพื่อให้สามารถเก็บวัตถุดิบได้ยาวนานขึ้นแล้วละก็ ตามมาดูกันเลย
การถนอมอาหาร มีประโยชน์อย่างไร
- ช่วยให้อาหารและวัตถุดิบไม่เน่าเสีย นำมาบริโภคได้แม้ผ่านไปนานหลายวัน
- ช่วยให้เก็บอาหารและวัตถุดิบที่เหลือใช้ นำมากินหรือใช้ได้ในวันถัดไป
- ช่วยให้เก็บอาหารที่มีเฉพาะฤดูกาล ไว้เก็บกินนอกฤดูกาลได้
- ช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร ลดปัญหาผลผลิตล้นตลาด
- ช่วยให้จัดส่งอาหารและวัตถุดิบได้สะดวก สามารถส่งไปยังพื้นที่ห่างไกลได้
การถนอมอาหาร มีอะไรบ้าง
1. การใช้ เครื่องซีลสุญญากาศ
เครื่องซีลสุญญากาศ คือ เครื่องที่ใช้ในการเก็บรักษา บรรจุภัณฑ์ โดยการดูดอากาศออกจาก บรรจุภัณฑ์ ก่อนทำการปิดซีลปิดปากถุง ด้วย เครื่องสุญญากาศ ส่วนประโยชน์ของการซีลสุญญากาศ นั้นมีหลายอย่าง เช่น ยืดอายุอาหารนาน 3-5 เท่า ประหยัดพื้นที่เก็บ คงสภาพความสดใหม่ของสินค้า เป็นอีกหนึ่ง วิธีถนอมอาหาร ที่ดีมาก ๆ อีกหนึ่งวิธี สามารถเลือกซื้อสินค้าเครื่องซีลสูญญากาศ https://www.sgethai.com/vacuum-sealer/ หรือ โทร. 02-2128127
2. การใช้ความร้อน
ประกอบด้วย การพาสเจอไรซ์ การสเตอริไลซ์ ใช้ความร้อนที่สูงกว่าอุณหภูมิน้ำเดือด การถนอมอาหาร โดยใช้ความร้อน สามารถทำลายจุลินทรีย์ และเอนไซม์ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในอาหารได้ แต่ก็ทำให้โปรตีนเปลี่ยนสภาพไปด้วย การถนอมอาหารโดยใช้ความร้อน แบ่งได้ ดังนี้
1.1 การพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurization)
เป็นกระบวนการให้ความร้อน โดยใช้อุณหภูมิที่ต่ำกว่า 100 °C เพื่อยืดอายุของอาหารให้นาน โดยมักจะใช้ ถนอมอาหาร จำพวก นม น้ำผลไม้ต่าง ๆ โดยจะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ และทำลายจุลินทรีย์ที่มีความทนทานต่อความร้อนต่ำ เช่น แบคทีเรีย ที่ไม่สร้างสปอร์ ยีสต์ และรา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณค่าของอาหารน้อยที่สุด แบ่งได้ 2 วิธี
- Low temperature long time (LTLT) เป็นวิธีที่ให้ ความร้อนต่ำ ประมาณ 60 °C นาน 30 นาที แล้วทำให้เย็นทันที
- High temperature short time (HTST) เป็นวิธีที่ให้ ความร้อนสูง ประมาณ 72 °C นาน 15 วินาที แล้วทำให้เย็นทันที >>อ่านรายละเอียด การพาสเจอร์ไรซ์ ที่นี่ <<
1.2 การสเตอริไลซ์ (Sterilization)
เป็นกระบวนการให้ความร้อน โดยใช้อุณหภูมิที่สูงกว่า 100 °C เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค และจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสียที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์สเตอริไลส์ สามารถเก็บไว้ได้นานในอุณหภูมิปกติ และไม่ต้องแช่เย็น >>ดูรายละเอียดการสเตอริไลซ์<<
1.3 การใช้ความร้อนที่สูงกว่าอุณหภูมิน้ำเดือด
โดยอาศัยความดันช่วย วิธีนี้นิยมนำไปใช้ในอาหารบรรจุขวด หรือบรรจุกระป๋อง ซึ่งมักจะใช้อาหารที่มีความเป็นกรดต่ำเป็นวัตถุดิบ เช่น เนื้อสัตว์ ผัก เป็นต้น
3. การทำแห้ง
ประกอบด้วย การตากแห้ง การรมควัน การใช้เครื่องมือช่วย เป็นการถนอมอาหาร เพื่อรักษาและยืดอายุการเก็บรักษา โดยลดปริมาณความชื้นออกจากอาหารให้ต่ำกว่าจุดที่จุลินทรีย์จะเจริญเติบโตได้ นอกจากนี้ ยังช่วยลดความชื้นที่มีผลต่อรสชาติ กลิ่น และคุณค่าทางอาหารได้อีกด้วย การทำให้แห้งที่นิยมใช้กันทั่วไป มี 3 วิธี ดังนี้
3.1 การทำแห้ง โดยวิธีธรรมชาติ
เป็นการอาศัยแหล่งความร้อนจากแสงอาทิตย์ หรือผึ่งลม นิยมใช้ เพราะต้นทุนต่ำ ทำได้ง่าย แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีคุณภาพต่ำ เนื่องจากไม่สามารถควบคุมอัตราความเร็วในการทำแห้งได้
3.2 การรมควัน
นิยมใช้ในการเก็บรักษาปลา และเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในรูปของปลาย่าง เนื้อย่าง
3.3 การทำแห้ง โดยใช้เครื่องมือช่วย
เป็นการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าช่วย เช่น เครื่องอบแห้ง เตาอบ เตาไมโครเวฟ การทำให้แห้งโดยวิธีนี้อาหารแต่ละชนิดต้องเหมาะสมด้วย เพื่อให้มีการสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการน้อยที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะสามารถควบคุมอุณหภูมิ ความชื้นได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพสม่ำเสมอ และรวดเร็ว >>สามารถดูสเป็คเครื่องอบแห้งได้ที่นี่<<
4. การใช้ความเย็น
เป็นการถนอมให้อาหารคงสภาพเดิม โดยใช้ความเย็นที่ระดับอุณหภูมิต่ำ แต่ไม่ถึงจุดเยือกแข็ง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ชะลอการเน่าเสียและลดอัตราการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของอาหาร สามารถยืดอายุการเก็บรักษาอาหารได้ระยะหนึ่ง
4.1 การแช่เย็น (Chilling)
เป็นวิธีการใช้อุณหภูมิต่ำในระดับตู้เย็นเพื่อเก็บอาหารสด หรืออาหารแปรรูป ให้สามารถเก็บได้นานกว่าอุณหภูมิห้อง ทำให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตได้ช้าลง อุณภูมินี้สามารถช่วยป้องกันการเสื่อมเสีย เช่น การหืนของไขมัน การเหี่ยวของผักต่าง ๆ และการเปรี้ยวของน้ำนม เป็นต้น
4.2 การแช่แข็ง (Freezing)
เป็นการเก็บรักษาและถนอมอาหารในอุณหภูมิต่ำกว่า -18 °C เพื่อป้องกันการยับยั้งและเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ โดยการแช่เยือกแข็งคือการทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง สำหรับอาหารที่นิยมแช่เยือกแข็ง ได้แก่ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ต่าง ๆ
หลังจากกระบวนการแช่แข็ง มักนิยมถนอมอาหาร โดยกระบวนการดึงความชื้น ที่เรียกว่า การฟรีซดราย จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้ แห้ง กรอบ และคงรสชาติของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ โดยปราศจากการปรุงแต่ง จึงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ เพราะไม่มีการเติมแต่งทั้งน้ำตาลและน้ำมัน
5. การหมักดอง
ประกอบด้วย การดองเปรี้ยว การดอง 3 รส การดองหวาน การดองเค็ม การหมักดอง เป็นการ ถนอมอาหาร โดยการใช้เกลือ น้ำส้ม น้ำตาล เป็นส่วนประกอบหลัก โดยอาศัยจุลินทรีย์บางชนิดเป็นตัวช่วยย่อยสลาย อาจจะเติมข้าวคั่ว เครื่องเทศ หรือน้ำซาวข้าวด้วยก็ได้ เพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาในการหมักดอง ทำให้อาหารนั้นมีรสเปรี้ยวหรือกลิ่นตามที่ต้องการ การหมักดองส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน หรือหลายเดือน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาหมักดอง เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ เป็นต้น สำหรับการทำกะปิ น้ำปลา ซีอิ้ว น้ำส้มสายชู เต้าเจี้ยว ส่วนใหญ่จะใช้เวลาหมักนานประมาณ 4-9 เดือน ซึ่งแบบการดองออกมาได้หลายวิธี ดังนี้
5.1 การดองเปรี้ยว
ผักที่นิยมนำมาดอง เช่น ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี ผักเสี้ยน ถั่วงอก เป็นต้น โดยการนำเอาผักมาเคล้ากับเกลือ และผสมน้ำเกลือกับน้ำส้มต้มให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น นำมาเทราดลงบนผักที่เรียงไว้ในภาชนะ เทให้ท่วมผักปิดฝาภาชนะไม่ให้ลมเข้า หมักทิ้งไว้ 4-7 วัน ก็นำมารับประทานได้
5.2 การดอง 3 รส
คือ รสเปรี้ยว เค็ม หวาน ผักที่นิยมดอง คือ ขิงดอง กระเทียมสด ผักกาดเขียว โดยนำเอาผักมาเคล้ากับเกลือแล้วผสมน้ำส้ม น้ำตาล เกลือ ต้มให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาเทราดลงบนผักปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน ก็นำมารับประทานได้
5.3 การดองหวาน
ผักและผลไม้ที่นิยมนำมาดอง เช่น มะละกอ หัวผักกาด กะหล่ำปลี เป็นต้น โดยต้มน้ำตาล น้ำส้มสายชูและเกลือ ให้ออกรสหวานจนเดือด ทิ้งไว้ให้เย็น เทราดลงบนผักผลไม้ ทิ้งไว้ 2-3 วัน ก็นำมารับประทานได้
5.4 การดองเค็ม
ส่วนใหญ่นิยมใช้กับพวกเนื้อสัตว์และผัก เช่น ปูเค็ม ปลาเค็ม กะปิ หัวผักกาดเค็ม ไข่เค็ม เป็นต้น โดยต้มน้ำส้มสายชู และเกลือให้ออกรสเค็มจัดเล็กน้อยจนเดือด ทิ้งไว้ให้เย็น กรองใส่ภาชนะที่จะบรรจุอาหารดอง แล้วหมักทิ้งไว้ 4-9 เดือน จึงนำมารับประทาน
5.5 การหมักดอง (ที่ทำให้เกิดแอลกอฮอล์)
คือ การหมักอาหารพวกแป้ง น้ำตาล โดยใช้ยีสต์เป็นตัวช่วยให้เกิดแอลกอฮอล์ เช่น ข้าวหมาก ไวน์ เป็นต้น
6. การใช้น้ำตาล
ประกอบด้วย การเชื่อม การกวน การแช่อิ่ม การทำแยม เป็นการถนอมอาหารโดยการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ช่วยทำให้เก็บรักษาอาหารให้อยู่ได้นานโดยไม่เน่าเสีย ซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้
6.1 การเชื่อม
การใช้น้ำและน้ำตาลใส่ภาชนะตั้งไฟเคี่ยวให้น้ำตาลละลายเหนียวจนเป็นน้ำเชื่อมก่อน จากนั้นจึงใส่อาหารลงเคี่ยวต่อไปด้วยไฟอ่อน ๆ จนอาหารนั้นอิ่มชุ่มด้วยน้ำเชื่อม อาหารที่นิยมนำมาเชื่อม ได้แก่ กล้วย เผือก มัน มะยม ฟักทอง ทุเรียน เป็นต้น การเชื่อมแบ่งออกได้ 3 วิธี ได้แก่
- การเชื่อมแบบธรรมดา จะใช้น้ำตาลไปคลุกเคล้าหรือผสมในอาหารที่ต้องการ เพื่อให้น้ำตาลไปยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในอาหาร ทำให้อาหารยังคงสภาพอยู่ได้นานโดยไม่เน่าเสีย เช่น ลูกตาลเชื่อม กล้วยเชื่อม เป็นต้น
- การเชื่อมแบบแช่อิ่ม การนำเอาผักหรือผลไม้ไปแช่ในน้ำเชื่อม เพื่อให้น้ำเชื่อมซึมเข้าสู่ผักหรือผลไม้ จนกระทั่งเกิดการอิ่มตัว แล้วจึงเอาผักหรือผลไม้ลงแช่ ปรับเพิ่มความเข้มข้นตามความต้องการ ผลไม้ที่นิยมนำมาแช่อิ่ม เช่น มะม่วง มะขาม มะกอก มะยม เป็นต้น
- การเชื่อมโดยการฉาบ เคี่ยวน้ำตาลให้เป็นน้ำเชื่อมจนเป็นเกล็ด แล้วเทลงผสมคลุกเคล้ากับของที่ทอดไว้ ทิ้งไว้ให้เย็นจนน้ำเชื่อมเกาะเป็นเกล็ดติดอยู่บนผิวอาหารที่ฉาบ นิยมใช้กับผักหรือผลไม้ เช่น เผือกทอด มันทอด กล้วยทอด เป็นต้น >>ดูเพิ่มเติม 6 เมนูผลไม้เชื่อมยอดนิยม<<
6.2 การกวน
การนำเอาเนื้อผลไม้ที่สุกแล้วผสมกับน้ำตาล ใช้ความร้อนปานกลางแล้วปรับลดลงต่ำ ใช้ไม้พายคนหรือกวนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้น้ำระเหยออกจนกระทั่งเนื้อผลไม้ข้นเหนียว มีรสหวานจัด แล้วยกลงจากเตาทิ้งไว้ให้เย็น นำเก็บใส่ขวดหรือหม้อปิดฝาให้สนิท เก็บไว้รับประทานได้หลายวัน ผลไม้ที่นิยมนำมากวน เช่น มะม่วง ทุเรียน สับปะรด เป็นต้น
6.3 การทำแยม
เป็นการต้มเนื้อผลไม้ปนกับน้ำตาลด้วยไฟอ่อนในระยะแรก แล้วค่อย ๆ เพิ่มไฟขึ้นทีละน้อย หมั่นคนสม่ำเสมอ จนกระทั่งแยมเหนียวตามต้องการ ผลไม้ที่นิยมนำมาทำแยม ได้แก่ สับปะรด ส้ม สตรอเบอรี่ มะปราง เชอรี่ แตงไทย กระเจี๊ยบ แตงโม ชมพู่ เป็นต้น >>ดูบทความ วิธีทำแยมโฮมเมดง่ายๆ<<
7. การใช้สารเคมี
เป็นการป้องกันการเน่าเสียของอาหาร เนื่องจากจุลินทรีย์เป็นสาเหตุของการเน่าเสียของผลิตภัณฑ์ โดยสารเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ ได้แก่ เกลือ น้ำตาล กรด สารกันเสีย สารกันหืน เป็นต้น
8. การใช้ก๊าซไนโตรเจน
อีกหนึ่ง วิธีถนอมอาหาร โดยการนำก๊าซชนิดต่าง ๆ มาใช้สำหรับกระบวนการบรรจุผลิตภัณฑ์อาหารมากขึ้น เพื่อช่วยรักษาคุณภาพ และคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์อาหารนั้น ๆ ไว้ให้นานที่สุด ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มอายุการเก็บรักษาอาหาร กระบวนการบรรจุ โดย การใช้ก๊าซไนโตรเจน เข้าไปแทนที่อากาศภายในภาชนะบรรจุ ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น อาหารที่มีไขมันมาก น้ำผลไม้ เป็นต้น
10 เมนูถนอมอาหาร ยอดนิยม
4 พุทราเชื่อม
ถ้าพูดถึง ผลไม้เชื่อม หนึ่งในผลไม้ที่นึกถึง คือ พุทราจีน ผลไม้ยอดนิยม สามารถรับประทานได้ทั้งผลสด และผลสุก บทความนี้ SGE จะชวนเพื่อน ๆ ไปทำ พุทราเชื่อม ทานเองที่บ้าน แบบง่าย ๆ กันดีกว่า โดย จะเอาผลพุทราสุก ไปเชื่อม เพื่อเก็บรับประทานได้นาน ๆ มีความกรอบอร่อย หอมหวานในตัว อร่อยจนหยุดไม่อยู่ จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้างนั้น ไปดูกัน
วัตถุดิบ: พุทราจีน, น้ำปูนใส, น้ำตาลทราย, เกลือป่น
6 มะม่วงอบแห้ง
วิธีทำ มะม่วงอบแห้ง ด้วยตัวเองที่บ้าน ทำได้ง่ายมาก ๆ สามารถแปรรูปเป็นผลไม้แห้งไว้รับประทานกันในครอบครัว รวมถึงผลิตและวางจำหน่าย เพื่อสร้างรายได้ เหมาะกับคนที่ชื่นชอบการทานมะม่วง หรือ เกษตกร ที่มีผลผลิตมะม่วงจำนวนมาก แล้วอยากสร้างมูลค่าเพิ่ม หากใครอยากรู้ว่า มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
วัตถุดิบ: มะม่วง, เกลือ, แคลเซียมคลอไรด์, น้ำ, …
9 มะม่วงกวน
วิธีทำมะม่วงกวน ผลิตภัณฑ์แปรรูป ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับมะม่วง ทำอย่างไรให้เนื้อแน่น หวานอร่อย ได้รสชาติของมะม่วงเข้มข้น SGE มีวิธีทำมาฝาก แบบง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน เหมาะสำหรับคนที่อยากมะม่วงเก็บไว้ทานนาน ๆ หรือจะทำเป็นของฝาก ไว้ฝากญาติพี่น้อง หรือ ทำขายเพื่อสร้างรายได้
วัตถุดิบ: มะม่วงสุก, เกลือ, …
10 ทุเรียนกวน
วิธีทำทุเรียนกวน ทำอย่างไรให้เนื้อแน่น หวานอร่อย ได้รสชาติของทุเรียนเข้มข้น SGE มีวิธีทำมาฝาก เหมาะสำหรับคนที่อยากทุเรียนเก็บไว้ทานนาน ๆ หรือ จะทำเป็นของฝาก ไว้ฝากญาติพี่น้อง หรือ ทำขายเพื่อสร้างรายได้ก็ได้
วัตถุดิบ: ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง, น้ำตาล
การถนอมอาหาร แบ่งตามประเภทอาหาร
- การถนอมอาหารประเภทผักและผลไม้ เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิต และสามารถลดการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตร ฤดูกาลที่มีผลผลิตออก ในปริมาณที่ล้นตลาด หรือไม่สามารถบริโภคได้ทัน >>ดูรายละเอียดการถนอมอาหารประเภทผักและผลไม้<<
- การถนอมอาหารสด
- การถนอมอาหารเนื้อสัตว์
การถนอมอาหาร เป็นวิธีที่ช่วยยืดอายุวัตถุดิบและอาหารให้เก็บได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น และ ยังช่วยเพิ่มรสชาติ สามารถนำมาทำเมนูอาหารใหม่ ๆ ได้อีกด้วย หากใครซื้อผักผลไม้ เนื้อสัตว์ มาแล้วใช้ไม่หมด อยากจะเก็บไว้กินหรือใช้ทำอาหารแล้วละก็ ลองทำตามวิธีต่าง ๆ กันได้เลย รับรองว่า จะช่วยให้วัตถุดิบและอาหารเก็บได้ยาวนาน นำมากินหรือทำอาหารในวันถัด ๆ ไปได้อย่างแน่นอน
1 มีนาคม 2024
โดย
ลำดวน