เมล็ดเจีย

2,469 Views

คัดลอกลิงก์

เมล็ดเจีย แตกต่างจากเม็ดแมงลักอย่างไร พร้อมบอกวิธีปลูกต้นเจียที่บ้าน

เมล็ดเจีย เป็นธัญพืชที่คนนิยมบริโภคกันมาก เพราะเชื่อว่า ช่วยลดน้ำหนัก ได้ แล้วมันแตกต่างกับ เม็ดแมงลัก อย่างไร SGE มีคำตอบ พร้อมพาทุกคนไปรู้จัก เมล็ดเจีย ให้มากขึ้น รวมถึง วิธีปลูกต้นเจีย เพื่อเก็บเมล็ดด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน

ทำความรู้จัก เมล็ดเจีย

เมล็ดเจีย

เมล็ดเจีย ที่คนไทยเรียกกัน จริง ๆ แล้วต้องเรียกว่า เมล็ดชีอา (chia seeds) เป็นธัญพืชชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ ทรงรี คล้ายเม็ดแมงลัก แต่ว่าจะมีทั้งสีดำ สีน้ำตาล หรือ สีขาว ไม่ได้มีแค่สีดำสีเดียว  มาจาก ต้นชีอา  ซึ่งเป็นพืชล้มลุก อยู่ในกลุ่มเดียวกับต้นกะเพรา โหระพา แมงลัก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกา บริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และ กัวเตมาลา

โดย เมล็ดเจีย หรือ เมล็ดชีอานั้น เป็นธัญพืชที่คนนิยมนำมาบริโภคกันตั้งแต่โบราณ มีหลักฐานทางโบราณคดีบ่งบอกว่า ชาวแอซเท็ก (Aztec) ซึ่งเป็นกลุ่มอารยธรรมโบราณในทวีปอมเริกาใต้นั้น นำมาบริโภคกันตั้งแต่เกือบ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล และ ยังถูกใช้เป็นของเซ่นไหว้ เพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อ ปัจจุบัน คนนิยมนำเมล็ดเจียมาบริโภค โดยการโรยกินคู่กับสลัด ขนมปัง คุกกี้ วุ้น หรือ เครื่องดื่มสมูทตี้ต่าง ๆ

⭐⭐ หากชื่นชอบบทความของ SGE ⭐⭐

ตู้อบลมร้อน ตู้อบเบเกอรี่

ประโยชน์ของเมล็ดเจีย

chia seed

1. มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

จากการศึกษา พบว่า เมล็ดเจีย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก อุดมไปด้วยสารอาหารหลัก ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน B ไขมัน นอกจากนี้ ยังมี ใยอาหาร แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ซิงค์ รวมถึง กรดไขมันไม่อิ่มตัว ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่าง โอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 (กรดไลโนเลอิก) อีกด้วย

2. ช่วยลดน้ำหนัก

เมล็ดเจียมีใยอาหารสูง ทำให้เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว จะเกิดการพองตัวเหมืองฟองน้ำในกระเพาะอาหาร ทำให้เรารู้สึกอิ่มง่าย เหมาะกับคนที่ต้องการลดปริมาณการทานอาหาร เพื่อลดน้ำหนัก หรือ เพื่อควบคุมน้ำหนักตัวให้คงที่

3. ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี

ดั่งที่กล่าวไปแล้วว่า เมล็ดเจีย มีใยอาหารสูง โดยปริมาณเพียงแค่ 2 ช้อนโต๊ะ ก็จะมีใยอาหารจำนวนมากถึง 9.8 กรัม จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้เกิดการบีบตัว อุจจาระไม่เกาะลำไส้ ทำให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น ป้องกันการเกิดอาการท้องผูก ท้องเสีย และ ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ได้ในอนาคต

4. ลดการดูดซึมน้ำตาลและไขมันในเลือด

นอกจากช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ใยอาหารในเมล็ดเจียที่ละลายน้ำได้ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะมีลักษณะคล้ายเจลอยู่ในกระแสเลือด เข้าไปช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและไขมันส่วนเกินของร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดลดลง

5. ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

โอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 ในเมล็ดเจีย มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจาก Omega-3 จะเข้าไปช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง ในส่วนของโอเมก้า 6 (กรดไลโนเลอิก) ก็จะเข้าไปช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดเช่นกัน ส่งผลให้หลอดเลือดแข็งแรง ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ปกติ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

⭐⭐ หากชื่นชอบบทความของ SGE ⭐⭐

เครื่องซีลสูญญากาศ จาก SGE การันตีด้วยยอดขายอันดับ 1

ฝากกดลิงก์เยี่ยมชมสินค้า เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานของเราด้วยนะคะ🙏

ฝากกดลิงก์เยี่ยมชมสินค้า เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานของเราด้วยนะคะ🙏

เมล็ดเจีย แตกต่างจาก เม็ดแมงลัก อย่างไร

เมล็ดเจีย

ด้วยมีขนาด รูปทรง และ คุณสมบัติในการลดน้ำหนักเหมือนกัน ทำให้หลายคนมักแยกไม่ออกว่า เมล็ดเจียกับเมล็ดแมงลักนั้น แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งหากให้เปรียบเทียบกันจริง ๆ แล้ว จะมีความแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

1. สีสัน

ถ้าเปรียบเทียบกันที่สีสัน เมล็ดเจียจะแตกต่างจากเม็ดแมงลัก ตรงที่มีหลายสี คือ มีทั้งสีดำ สีน้ำตาล และ สีขาว ผิดกับ เม็ดแมงลัก ที่จะมีสีดำเพียงอย่างเดียว

2. คุณค่าทางสารอาหาร

ด้านคุณค่าทางสารอาหารก็แตกต่างเช่นเดียวกัน โดยเมล็ดเจียนั้น จะมีคุณค่าทางสารอาหารครบครันมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน B ไขมัน ใยอาหาร แคลเซียม โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 (กรดไลโนเลอิก) ต่างกับ เม็ดแมงลัก ที่จะมีใยอาหารสูงเพียงอย่างเดียว หากบริโภคเมล็ดเจียก็ได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่า

3. รูปแบบการกิน

เมล็ดเจีย สามารถบริโภคแบบดิบ ๆ ได้เลย ต่างกับ เม็ดแมงลัก ที่ต้องนำไปแช่น้ำ ให้พองตัวเต็มที่เสียก่อน ถึงจะรับประทานได้ ไม่เช่นนั้น หากรับประทานเม็ดแมงลักดิบเข้าไป จะเข้าไปดูดซึมน้ำและเกิดการพองตัวในระบบทางเดินอาหาร ทำให้อาจเกิดอาการลำไส้อุดตัน จนท้องอืดได้

⭐⭐ หากชื่นชอบบทความของ SGE ⭐⭐

ตู้อบลมร้อน ตู้อบเบเกอรี่

วิธีปลูกต้นเจีย ด้วยตัวเอง

chia seed

ปัจจุบัน ด้วยมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก ทำให้เมล็ดเจียเป็นธัญพืชชนิดหนึ่งที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง โดยในค.ศ. 2022 การซื้อขายเมล็ดเจียนั้นมีมูลค่าสูงถึง 2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ  เลยทีเดียว ทำให้ ต้นเจีย เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตกร ดังนั้น หากใครสนใจปลูกต้นเจีย ด้วยตัวเองแล้วละก็ ตามมาดู วิธีปลูกต้นเจีย กันได้เลย

ช่วงเวลาที่ควรปลูก : ปลายฤดูฝน (สิงหาคม – กันยายน) และ ฤดูหนาว (พฤศจิกายน – ธันวาคม)

การขยายพันธุ์ : การเพาะเมล็ด

ดินที่ใช้ปลูก : ดินร่วน หรือ ดินร่วนปนทราย ที่ระบายน้ำและอากาศได้ดี

วิธีปลูกต้นเจีย

  1. เตรียมกระถางเล็ก ๆ สำหรับเพาะต้นกล้า ใส่ดินร่วน หรือ ดินร่วนปนทราย ลงไป แล้ว หย่อยเมล็ดเจียลงไป รดน้ำวันละ 2 ครั้ง ให้ดินชุ่ม แล้วใช้ถุงพลาสติกครอบไว้ ในช่วง 7 วันแรก จะทำให้ต้นเจียโตเร็วขึ้น
  2. พอต้นเจียออกใบเขียวแล้ว ให้เอาถุงพลาสติกออก แล้วรดน้ำวันละ 2 ครั้งต่อไป จนกว่าจะครบ 30 – 35 วัน
  3. เมื่อต้นกล้าแข็งแรงดีแล้ว ให้ย้ายลงกระถางใหญ่ หรือ แปลงปลูก ขุดหลุมขนาดเล็ก 1 หลุม ต่อ 1 ต้น จากนั้น รดน้ำวันละ 2 ครั้งต่อไป จนกว่าต้นเจียจะโตเต็มที่ และ ออกดอกให้เมล็ดเจียได้ตามต้องการ

ถึงแม้ เมล็ดเจีย และ เม็ดแมงลัก จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ถ้าพูดถึงในเรื่องของประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก หรือ ควบคุมน้ำหนักแล้วละก็ นับว่าเป็นธัญพืชที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ดังนั้น หากใครอยากจะผอมขึ้น หรือ มีน้ำหนักที่คงที่แล้วละก็ ถ้าหาซื้อเม็ดแมงลักไม่ได้ ก็อย่าลืมไปหาซื้อเมล็ดเจียมารับประทานกัน รับรองว่า จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

สำหรับใครที่ต้องการปลูกต้นเจีย เพื่อเก็บเมล็ดเจีย ไว้รับประทานด้วยตัวเอง แนะนำให้ใช้ กระถางผ้า ของ SGE ผลิตจากผ้าใยชนิดพิเศษ ใช้งานทนทาน ช่วยให้อากาศถ่ายเทเข้า-ออกได้ดี ดินมีความชุ่มชื้น ช่วยเร่งรากและทำให้ต้นกล้าเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว สนใจคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.sgethai.com/plant-pot/

22 กรกฎาคม 2022

โดย

Pres

ความคิดเห็น (Comments)

Leave A Comment